
เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 ณ ห้องประชุมสภามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย รองศาสตราจารย์ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ พร้อมด้วยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วชิร คูณทวีเทพ รองอธิการบดีฝ่ายยุทธศาสตร์และผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า และอาจารย์วาทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ร่วมกันแถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนสิงหาคม 2568
ผลการสำรวจพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของประเทศไทย ในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 50.1 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน และถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 32 เดือนนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบัน อยู่ที่ 35.4 และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคตอยู่ที่ 57.3 สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายของภาคธุรกิจชะลอตัวและไม่สอดคล้องกับภาระค่าครองชีพที่สูง ขณะเดียวกันค่าเงินบาทที่แข็งค่าและสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นปัจจัยลบกดดัน
ในส่วนของดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ด้านเศรษฐกิจโดยรวม พบว่าอยู่ที่ 44.2 ดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันอยู่ที่ 40.0 และดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตอยู่ที่ 48.4 ซึ่งทั้งหมดปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6เช่นกัน โดยมีปัจจัยลบสำคัญ ได้แก่ ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา การถอดถอนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพที่ยังคงสูง
รองศาสตราจารย์ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี กล่าวว่า “สถานการณ์ที่เป็นอยู่สะท้อนว่ากำลังซื้อของประชาชนยังเปราะบาง ผู้บริโภคยังไม่มั่นใจต่อรายได้ในอนาคต และเลือกที่จะชะลอการใช้จ่าย โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย ขณะเดียวกันธุรกิจเองก็ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูทิศทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเมือง อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการคนละครึ่งในช่วงไตรมาส 4 นี้ เชื่อว่าจะช่วยสร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจและทำให้ GDP ปีนี้มีโอกาสเติบโตเกิน 2.5% ได้”
ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จะติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด โดยคาดว่าการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจมีสัญญาณขยายตัวอย่างชัดเจน และประชาชนมีความมั่นใจต่อรายได้และเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศมากยิ่งขึ้น
