
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เดือนกันยายน 2568 ปรับตัวดีขึ้นในรอบ 8 เดือน แต่เศรษฐกิจยังเปราะบาง
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 รองศาสตราจารย์ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พร้อมด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วชิร คูณทวีเทพ รองอธิการบดีฝ่ายยุทธศาสตร์ และผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า อาจารย์วาทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอาจารย์วิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ร่วมแถลงข่าวผลสำรวจ ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย และ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ประจำเดือนกันยายน 2568 ณ ห้องประชุมสภามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
อาจารย์วาทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนกันยายน 2568 ปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 50.1 ในเดือนสิงหาคม มาอยู่ที่ 50.7 ซึ่งถือเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นในรอบ 8 เดือน แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นมากขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 ซึ่งสะท้อนว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เนื่องจากยังเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงและความกังวลจากสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วชิร คูณทวีเทพ รองอธิการบดีฝ่ายยุทธศาสตร์ และผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ประจำเดือนกันยายน 2568 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจาก 44.2 เหลือ 44.0 ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน สะท้อนว่าภาคธุรกิจเอกชนยังคงมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจ ทั้งจากปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา และการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศที่ยังไม่ทั่วถึง ภาคเอกชนจึงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี เพื่อเสริมสภาพคล่องและสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา
ขณะที่อาจารย์วิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวว่า ศูนย์ได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 2568 จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 1.7% เพิ่มขึ้นเป็น 2.0% โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐและการใช้จ่ายในประเทศ แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากหลายปัจจัย อาทิ ผลกระทบจากภาษี Transshipment และการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลงจาก 36 ล้านคน เหลือราว 33 ล้านคน ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวหดตัวจาก 1.69 ล้านล้านบาท เหลือประมาณ 1.55 ล้านล้านบาท
รองศาสตราจารย์ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการ “คนละครึ่งพลัส” และ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ของรัฐบาล จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ราว 0.4–0.5% แต่ปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์ชายแดนยังคงเป็นข้อจำกัดสำคัญในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้ปรับประมาณการ GDP ปี 2568 เพิ่มขึ้นอีก 0.3% คาดว่าทั้งปีเศรษฐกิจไทยจะเติบโตอยู่ที่ระดับ ร้อยละ 2.0
